Custom Search

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่/ท่องเที่ยวป่าเขา ไทยคึกคัก


อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีอาณาเขตครอบคลุม 11 อำเภอของ 4 จังหวัด คือ จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดนครนายก ได้รับสมญานามว่าเป็นอุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นป่าผืนใหญ่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรักในส่วนหนึ่งของดงพญาไฟหรือดงพญาเย็นในอดีต ประกอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนหลายลูก เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำนครนายก แม่น้ำมูล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่า กวาง เก้ง กระทิง เสือ ตลอดจนมีลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงาม มีเนื้อที่ 2,168.64 ตารางกิโลเมตรหรือ 1,355,396.96 ไร่

ลักษณะภูมิประเทศ

สภาพทั่ว ๆ ไปของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนกันหลายลูก ได้แก่ เขาร่ม ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด 1,351 เมตร เขาแหลมสูง 1,326 เมตร เขาเขียวสูง 1,292 เมตร เขาสามยอดสูง 1,142 เมตร เขาฟ้าผ่าสูง 1,078 เมตร เขากำแพงสูง 875 เมตร เขาสมอปูนสูง 805 เมตร และเขาแก้วสูง 802 เมตร ซึ่งวัดความสูงจากระดับน้ำทะเลเป็นเกณฑ์ และยังประกอบด้วยทุ่งกว้างสลับกับป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ด้านทิศเหนือและตะวันออกพื้นที่จะลาดลง ทางทิศใต้และตะวันตกเป็นที่สูงชันไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารที่สำคัญถึง 5 สาย ดังนี้

แม่น้ำปราจีนบุรีและแม่น้ำนครนายก ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเกษตรกรรมและระบบทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคนี้ แม่น้ำทั้ง 2 สายนี้ มาบรรจบกันที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กลายเป็นแม่น้ำบางปะกงแล้วไหลลงสู่อ่าวไทย

แม่น้ำลำตะคองและแม่น้ำพระเพลิง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางทิศเหนือ ไหลไปหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมของที่ราบสูงโคราช ไปบรรจบกับแม่น้ำมูล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภาคอีสานตอนล่างไหลลงสู่แม่น้ำโขง

ห้วยมวกเหล็ก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งมีปริมาณน้ำไหลตลอดทั้งปีและ ให้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะการปศุสัตว์ของภูมิภาคนี้ ไหลลงสู่แม่น้ำป่าสัก ที่อำเภอมวกเหล็ก

ลักษณะภูมิอากาศ

สภาพป่ารกทึบได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมทำให้เกิดฝนตกชุกตามฤดูกาล อากาศไม่ร้อนจัดและหนาวจัดจนเกินไป จัดอยู่ในประเภทเย็นสบายตลอดทั้งปี เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวและประกอบกิจกรรมนันทนาการชนิดต่าง ๆ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 23 องศาเซลเซียส

ฤดูร้อน แม้ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าวในที่อื่น แต่ที่เขาสูงบนเขาใหญ่อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การพักผ่อน และไม้ป่ามีดอกหลากสีบานสะพรั่งบ้างออกผลตามฤดูกาล

ฤดูฝน เป็นช่วงหนึ่งของปีที่สภาพบนเขาใหญ่ชุ่มฉ่ำ ป่าไม้ทุ่งหญ้าเขียวขจีสดสวย น้ำตกทุกแห่งไหลแรงส่งเสียงดังก้องป่าให้ชีวิตชีวาแก่ผู้ไปเยือน แม้การเดินทางจะลำบากกว่าปกติแต่จำนวนนักท่องเที่ยวก็ไม่ลดน้อยลงเลย

ฤดูหนาว ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นฤดูที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเขาใหญ่มากที่สุด ท้องฟ้าสีครามแจ่มใสตัดกับสีเขียวขจีของป่าไม้ พยับหมอกที่ลอยเอื่อยไปตามทิวเขา ดวงอาทิตย์กลมโตอยู่เบื้องหน้าไกลโพ้น อากาศหนาวเย็นในเวลากลางคืน แต่รุ่งเช้าของวันใหม่เราจะพบกับธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างไปจากเมื่อวานอีกแบบหนึ่งกิจกรรมเล่นแค้มป์ไฟ เหมาะสมในฤดูนี้มาก













พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า

1. ป่าเบญจพรรณแล้ง ลักษณะของป่าชนิดนี้อยู่ทางด้านทิศเหนือ ซึ่งมีระดับความสูงระหว่าง 200-600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ประกอบด้วยไม้ยืนต้นประเภทผลัดใบ เช่น มะค่าโมง ประดู่ ตะแบก ตะเคียนหนู แดง นนทรี ซ้อ ปออีเก้ง สมอพิเภก ตะคล้ำ เป็นต้น พืชชั้นล่างมีไม้ไผ่และหญ้าต่าง ๆ รวมทั้งกล้วยไม้ด้วย ในฤดูแล้งป่าชนิดนี้จะมีไฟลุกลามเสมอ และตามพื้นป่าจะมีหินปูนผุดขึ้นอยู่ทั่ว ๆ ไป

2. ป่าดงดิบแล้ง ลักษณะป่าชนิดนี้มีอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ราบลูกเนินในระดับความสูง 200-600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ไม้ชั้นบน ได้แก่ ไม้ยางนา พันจำ เคี่ยมคะนอง ตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ตะแบก สมพง สองสลึง มะค่าโมง ปออีเก้ง สะตอ ซาก และคอแลน เป็นต้น ไม้ยืนต้นชั้นรองมี กะเบากลัก หลวงขี้อาย และกัดลิ้น เป็นต้น พืชจำพวกปาล์ม เช่น หมากลิง และลาน พืชชั้นล่างประกอบด้วยพืชจำพวกมะพร้าว นกคุ้ม พวกขิง ข่า กล้วยป่าและเตย เป็นต้น

3. ป่าดงดิบชื้น ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นป่าที่อยู่ในระดับความสูง 400-1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล จะมีชนิดไม้คล้ายคลึงกับป่าดงดิบแล้ง เพียงแต่ว่าไม้วงศ์ยางขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ยางกล่อง ยางขน ยางเสี้ยน และกระบาก โดยเฉพาะพื้นที่ถูกรบกวนจะพบ ชมพู่ป่าและกระทุ่มน้ำขึ้นอยู่ทั่วไป พรรณไม้ผลัดใบ เช่น ปออีเก้ง สมพง และกว้าว แทบจะไม่พบเลย บริเวณริมลำธารมักจะมีไผ่ลำใหญ่ๆ คือ ไผ่ลำมะลอกขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม นอกจากไม้ยางแล้วไม้ชั้นบนชนิดอื่น ๆ ยังมี เคี่ยมคะนอง ปรก บรมือ จำปีป่า พะดงและทะโล้ ไม้ชั้นรอง ได้แก่ ก่อน้ำ ก่อรัก ก่อด่าง และก่อเดือย ขึ้นปะปนกัน

4. ป่าดิบเขา ป่าชนิดนี้เกิดอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นบนภูเขาสูง ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตรขึ้นไป สภาพป่าแตกต่างไปจากป่าดงดิบชื้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีไม้วงศ์ยางขึ้นอยู่เลย พรรณไม้ที่พบเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น พญาไม้ มะขามป้อมดง ขุนไม้ และสนสามพันปี และ ไม้ก่อชนิดต่าง ๆ ที่พบขึ้นในป่าดงดิบชื้น นอกจากก่อน้ำและก่อต่าง ๆ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 600-900 เมตรเท่านั้น ตามเขาสูงจะพบต้นกำลังเสือโคร่งขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ไม้ชั้นรอง ได้แก่ เก็ดล้านส้มแปะ แกนมอ เพลาจังหัน และหว้า พืชชั้นล่าง ได้แก่ ต้างผา กำลังกาสาตัวผู้ กูด และกล้วยไม้ดิน

5. ทุ่งหญ้าและป่ารุ่นหรือป่าเหล่า ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นผลเสียเนื่องจากการทำไร่เลื่อนลอยในอดีตก่อนมีการจัดตั้งป่าเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติได้มีราษฎรอาศัยอยู่และได้แผ้วถางป่าทำไร่ เมื่อมีการอพยพราษฎรลงไปสู่ที่ราบ บริเวณไร่ดังกล่าวถูกปล่อยทิ้ง ต่อมามีสภาพเป็นทุ่งหญ้าคาเสียส่วนใหญ่ บางแห่งมีหญ้าแขม หญ้าพง หญ้าขนตาช้างเลา และตองกง และยังมีกูดชนิดต่าง ๆ ขึ้นปะปนอยู่ด้วย เช่น โขนใหญ่ กูดปี้ด โขนผี กูดงอดแงด และกูดตีนกวาง

สัตว์ป่า

สัตว์ป่าที่สามารถพบได้บ่อย ๆ และตามโอกาสอำนวย ได้แก่ เก้ง กวาง ตามทุ่งหญ้าทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ยังพบ ช้าง เสือโคร่ง กระทิง เลียงผา หมี เม่น ชะนี พญากระรอก หรือ หมาไม้ ชะมด อีเห็น กระต่ายป่า นกชนิดต่าง ๆ จำนวน 200 ชนิด จากจำนวนไม่น้อยกว่า 293 ชนิด ที่สำรวจพบอาศัยอยู่บริเวณป่าเขาใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งหาอาหารและที่อาศัยอย่างถาวร นกที่น่าสนใจและพบเห็นได้บ่อย ได้แก่ นกเงือก นกขุนทอง นกขุนแผน นกพญาไฟ นกแต้วแล้ว นกโพระดก นกแซงแซว นกเขา นกกระปูด ไก่ฟ้า และนกกินแมลงชนิดต่าง ๆ นกเงือกทั้ง 3 ชนิด ที่พบบนเขาใหญ่นับว่าเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชอบดูนกเป็นอย่างดี เพราะพบเห็นได้ทั่วไป พวกแมลงที่มีมากกว่า 5,000 ชนิด ที่สวยงามและพบเห็นบ่อย ได้แก่ ผีเสื้อที่มีรายงานพบกว่า 216 ชนิด


ท่องเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร/ท่องเที่ยวป่าเขา ไทยคึกคัก

ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบ เสมือนเป็นจารึกของประวัติศาสตร์ ที่บอกเล่าเรื่องราวอดีตนครรัฐแห่งนี้ย้อนไปได้เป็นพันปี ชุมชนแห่งนี้มีมาก่อนสุโขทัยราชธานี ผ่านกาลเวลาแห่งความรุ่งเรืองและร่วงโรย ไปตามความสามารถของเจ้าผู้ครองนคร และความเข้มแข็งของอาณาจักรข้างเคียง ร่องรอยอดีตเหล่านี้ ปรากฏอยู่ในรูปของโบราณสถาน โบราณวัตถุ ในเขตพื้นที่เมืองโบราณกำแพงเพชร ที่นับว่าเป็นหลักฐานอันทรงคุณค่า เป็นเส้นทางให้เราเข้าไปรู้จักอดีต เป็นมรดกของมนุษยชาติ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร จึงได้รับการประกาศให้เป็น "มรดกโลก" ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2534

อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรแบ่งออกเป็นโบราณสถานฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวัน ตกของแม่น้ำปิง ซึ่งใช้วัสดุก่อสร้างที่แตกต่างกัน ด้านตะวันออกของแม่น้ำปิงเป็นที่ตั้งเมืองกำแพงเพชร โบราณสถานจะสร้างด้วยศิลาแลงและมีขนาดใหญ่ ส่วนโบราณสถานฝั่งตะวันตกคือเมืองนครชุม ก่อสร้างด้วยอิฐและมีขนาดเล็ก แต่รูปแบบศิลปะที่ปรากฏมีลักษณะร่วมสมัยระหว่างสุโขทัยและอยุธยา นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานนอกเมืองกำแพงเพชร หรือเขตอรัญญิก ซึ่งเป็นที่อยู่ของสงฆ์ที่มุ่งในการปฎิบัติวิปัสสนาธรรม อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะทาง 2 กิโลเมตร









การเดินทางไปยังอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

ตั้งอยู่นอกเมืองกำแพงเพชรไปประมาณ 5 กิโลเมตร ตามถนนสายกำแพงเพชร - พรานกระต่าย แล้วเลี้ยวซ้ายตรงกิโลเมตรที่ 360

กิจกรรมที่น่าสนใจในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

ชมโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศึกษาประวัติศาสตร์ ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

สิ่งน่าสนใจอื่นๆในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

โบราณสถานฝั่งตะวันออกอยู่ในเขตกำแพงเมือง

วัดพระแก้ว ตั้งอยู่กลางเมืองกำแพงเพชร เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโบราณสถานมรดกโลกในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เป็นวัดที่สำคัญอยู่ติดกับบริเวณวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือวัดมหาธาตุกลางเมืองสุโขทัย ภายในบริเวณวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานที่ฐานมีสิงห์ล้อม เจดีย์ทรงกลมที่ฐานมีช้างรอบ วิหาร มณฑป อุโบสถ และเจดีย์ราย ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงเป็นแท่ง ๆ โดยรอบ

วัดพระธาตุ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของวัดพระแก้ว มีพระเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมเป็นประธาน ล้อมรอบด้วยระเบียงคดที่เชื่อมต่อกับวิหารด้านทิศตะวันออก ที่สองข้างวิหารมีเจดีย์รายอยู่ ข้างละ 1 องค์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบ

สระมน เป็นสระรูปสี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 16 เมตร รอบสระมีคันดินคูน้ำล้อมรอบ จากการขุดค้นที่บริเวณนี้พบเศษกระเบื้องมุงหลังคา เครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ

ศาลพระอิศวร ตั้งอยู่ด้านหลังศาลจังหวัด สร้างในปี พ.ศ.2503 เป็นฐานวิหารที่ก่อด้วยศิลาแลง พบองค์พระอิศวรและพระอุมาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งจารึกที่ฐานทำให้ทราบถึงสภาพของสังคม ในสมัยพระบรมราชาธิราช เมื่อปี พ.ศ. 2053

กำแพงเมืองกำแพงเพชร เป็นกำแพงชั้นเดียวสร้างเป็นเชิงเทินมี 2 ตอน ตอนล่างเป็นมูลดินสูงขึ้นไป 3-4 เมตร ตอนบนก่อด้วยศิลาแลงเป็นเชิงเทินมีใบเสมาและเจาะตรงใบเสมา ไว้สำหรับมองข้าศึก

โบราณสถานบริเวณนครชุมหรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง

วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนครชุม เป็นเจดีย์ที่เจ้าพระยาลิไทเสด็จมาสถาปนาและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เมื่อ พ.ศ.1900 เดิมเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ต่อมาพ่อค้าไม้ชาวกะเหรี่ยงได้ปฎิสังขรณ์เป็นเจดีย์แบบพม่าดังที่ปรากฏ เมื่อ 80-90 ปีมาแล้ว

วัดซุ้มกอ เป็นวัดขนาดเล็กอยู่ทางทิศใต้ของเมืองนครชุม เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยม มีองค์ระฆังแบบลังกา วัดนี้เคยขุดพบพระเครื่อง "ซุ้มกอ" เป็นจำนวนมาก ด้านหน้าของเจดีย์ประธานมีวิหารเล็ก ๆ 1 หลัง

วัดพระบรมธาตุเจดียาราม มีเจดีย์แบบพม่า 1 องค์ สันนิษฐานว่าเดิมคงเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ อย่างศิลปะสุโขทัย แต่ปัจจุบันเป็นเจดีย์แบบพม่าเนื่องจากเศรษฐีพม่าผู้หนึ่งได้มาบูรณะเมื่อ ประมาณ 100 ปี มาแล้ว ในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์สมัยสุโขทัยและอยุธยามากมาย

กำแพงป้อมทุ่งเศรษฐี ตั้งอยู่ริมถนนพหลโยธิน ก่อนถึงตัวเมืองกำแพงเพชรเล็กน้อย ลักษณะเป็นป้อมปราการที่ก่อด้วยศิลาแลง รูปสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 6 เมตร มีประตูทางเข้าตรงกลางป้อม 4 ด้าน ด้านในของป้อมมีเชิงเทิน ตรงฐานป้อมใต้เชิงเทินเป็นห้องมีทางเดินติดต่อกันได้ ตรงมุมมีป้อมยื่นออก 4 มุม มีรูมองอยู่ติดกับพื้น แต่ด้านทิศเหนือถูกรื้อออกเสียด้านหนึ่ง

วัดเจดีย์กลางทุ่ง ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีขนส่งกำแพงเพชร เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเมืองนครชุมทางทิศใต้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก่อสร้างด้วยอิฐ มีวิหารและเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเป็นเจดีย์ประธาน มีการจัดผังวัดแบบ อุทกสีมา คือใช้แนวคูน้ำโดยรอบเพื่อแสดงขอบเขตของวัด ซึ่งเป็นผังที่นิยมมากในสมัยสุโขทัย

วัดหนองพิกุล เป็นวัดสำคัญของเมืองนครชุม ส่วนหลังคาไม่ปรากฎให้เห็น แต่ผนังที่เหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อด้วยอิฐฉาบปูนมีลวดลายประดับ เป็นโบราณสถานที่ได้รับอิทธิพลจากลังกา

โบราณสถานนอกเมือง หรือเขตอรัญญิก

วัดพระนอน มีกำแพงศิลาแลงปักล้อมรอบวัดไว้ทั้ง 4 ด้าน ด้านหน้าวัดมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยม มีห้องอาบน้ำและศาลาน้ำ ฐานและเสาเป็นศิลาแลงมีทางเท้าปูด้วยศิลาแลง มีโบสถ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นวิหารพระนอน ก่อสร้างด้วยเสาศิลาแลงขนาดใหญ่ หลักฐานทางประติมากรรมที่พบคือ ใบเสมารูปเทพพนม พาลีกับทรพี สันนิษฐานว่าสลักขึ้นในสมัยอยุธยา

วัดพระสี่อิริยาบถ หรือวัดพระยืน วัดนี้มีบ่อน้ำและที่อาบน้ำอยู่หน้าวัดเช่นเดียวกับวัดพระนอน กำแพงเป็นศิลาแลงปักตั้งล้อม 4 ด้าน ด้านหน้าวัดมีวิหารขนาดใหญ่ยกฐานสูง 2 เมตร มีเสาลูกกรงเป็นศิลาแลงเหลี่ยมและมีทับหลังบนมุขหน้าวิหาร สิ่งสำคัญของวัดได้แก่ มณฑปจตุรมุข แต่ละทิศประดิษฐานพระพุทธรูป 4 ปาง คือ เดิน นั่ง ยืน นอน อยู่โดยรอบทั้ง 4 ทิศตามลำดับ ปัจจุบันเหลือเพียงพระยืนขนาดใหญ่ที่สวยงาม พระพักตร์เป็นลักษณะพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยแบบกำแพงเพชรคือ พระนลาฏกว้าง พระหนุเสี้ยม

วัดพระสิงห์ ถัดจากวัดพระสี่อิริยาบถไปทางทิศเหนือประมาณ 100 เมตร สันนิษฐานว่าใช้เวลาสร้างถึง 2 สมัย คือ สมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา ผังรวมของวัดแบ่งเขตพุทธาวาสให้อยู่ในกลุ่มกลางล้อมรอบด้วยเขตสังฆาวาสหรือ กุฏิสงฆ์ โดยมีพระเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมมีซุ้มทั้ง 4 ด้านเป็นประธาน ด้านหน้าเป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ ยกฐานประทักษิณสูง บนฐานประทักษิณนี้ประดิษฐานพัทธสีมาไว้ทั้งแปดทิศ มุขด้านหน้าของฐานประทักษิณมีรูปสิงห์ รูปนาค ประดับ

วัดช้างรอบ เป็นวัดที่สร้างบนยอดเนิน มีพระเจดีย์ทรงลังกา ซึ่งยอดหักพังหมดแล้ว มีบันไดทางขึ้นทั้งสี่ด้าน ที่ชั้นฐานลานประทักษิณประดับด้วยช้างทรงเครื่องครึ่งตัว จำนวน 68 เชือก ระหว่างช้างแต่ละเชือกมีภาพปั้นรูปลายพรรณพฤกษาในพระพุทธศาสนา เช่น ต้นโพธิ์ และต้นสาละ เป็นต้น

วัดอาวาสใหญ่ มีเจดีย์แปดเหลี่ยมเป็นประธาน ด้านหน้าเป็นวิหารฐานสูงมีทางขึ้น 3 ด้าน มีเจดีย์รายรอบ ด้านหน้าสุดนอกเขตกำแพงแก้วมีบ่อน้ำใหญ่ เรียกบ่อสามแสน เพราะน้ำในบ่อนี้ไม่เคยแห้ง

วัดช้าง เป็นวัดที่มีคูน้ำล้อมรอบ มีเจดีย์ทรงระฆังเป็นประธาน ฐานสี่เหลี่ยม มีช้างล้อมรอบ 16 เชือก มีเจดีย์รายวิหารจตุรมุข และกำแพงล้อมรอบ











ช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการมาท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

ตลอดทั้งปี

ค่าใช้จ่ายสำหรับการมาเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

ค่าเข้าชมชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 40 บาท สำหรับผู้ที่จะนำรถเข้าชมในบริเวณอุทยานจะต้องเสียค่าผ่านประตูคันละ 50 บาท รายละเอียดติดต่อ โทร. 0 5571 1921, 0 5571 2528

คำแนะนำในการท่องเที่ยว

เข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น เปิดทำการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์

เส้นทางเดินรถไฟฟ้านำชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

ปัจจุบันเปิดเส้นทางนำชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร นำชมบริเวณโดยรอบอุทยาน ชมวัดเก่า กำแพงเมืองเก่า การนำชมจะมีการบรรยายเป็นภาษาต่างๆ 4 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น และภาษาฝรั่งเศส จุดผ่านที่สำคัญอีดจุดหนึ่งคือ พิพิธภัณฑ์เรือนไทยเฉลิมพระเกียรติ การใช้บริการรถไฟฟ้านำชมอุทยานประวัติศาสตร์ สามารถติดต่อโดยตรงที่โทรศัพท์หมายเลข 0 5571 1044 ไม่เว้นวันหยุด ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะมาเป็นหมู่คณะ หรือมาส่วนตัว ค่าบริการ ถ้ามาเที่ยวเหมาคันๆละ 200 บาท ถ้าเป็นบุคคล ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ตลอดเส้นทาง


วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จุดชมวิวทางขึ้นเขาใหญ่เส้นปากช่อง/ท่องเที่ยวป่าเขา ไทยคึกคัก


เขาใหญ่นับเป็นอุทยานแห่งแรกของประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนหลายลูก และเป็นป่าที่มีสภาพอุดมสมบูรณ์โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นป่าดงดิบชื้น และมีพืชพรรณที่หลากหลายและมีน้ำตกมากกว่า 20 แห่ง เส้นทางเดินป่าบนเขาใหญ่ก็มีถึง 13 เส้นทาง เพราะว่าครอบคลุมพื้นที่ถึง 4 จังหวัด ด้วยกัน คือ สระบุรี นครนายก นครราชสีมา และปราจีนบุรี มีเนื้อที่ถึง 1 ล้าน 3 แสนกว่า ไร่ ด้วยกัน แต่ว่าแต่ละเส้นทางก็มีความยากง่าย ระยะทางและเวลาการเดินทางที่ต่างกันด้วย แต่ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเส้นทางครับ สำหรับนักเดินป่ามือใหม่ ท่านสามารถติดต่อกับทางอุทยานเพื่อให้เจ้าหน้าที่นำทางได้

เมื่อเดินทางขึ้นเขาใหญ่แล้ว เราจะได้พบกับธรรมชาติที่สัมผัสได้จริงสีเขียวชอุ่มของพืชพรรณนานาชนิด หลายคนอาจคิดว่าการมาเที่ยวป่าคงไม่มีอะไรไปมากกว่าการดูต้นไม้ใบหญ้า แต่ถ้าลองได้สังเกตคุณก็จะได้พบกับ ต้นไม้บางชนิดที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ความสดใสของพืชพันธุ์ต่างๆ สายหมอกยามเช้า ดอกไม้ป่านานาชนิด บางชนิดออกดอกเฉพาะหน้าหนาวนี้เท่านั้น เสียงนกร้องก้องไพร สายน้ำตกที่หลั่งไหลกระแทกก้อนหิน เนื่องจากเขาใหญ่เป็นป่าดงดิบชื้นส่วนใหญ่ จึงมีพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ตลอดปี แม้ฤดูหนาวนี้ \

จุดชมวิวบนเขาใหญ่ก็มีด้วยกันหลายจุด เช่น จุดชมวิวโป่งช้าง และบริเวณทุ่งหญ้ามอสิงโตซึ่งทุ่งหญ้ามอสิงโตนี้จะสามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำได้ชัดเจน โดยบริเวณจุดชมวิวแต่ละที่ก็สามารถเดินทางโดยเส้นทางเดินป่าและสามารถใช้ถนนโดยขับรถขึ้นไปก็ได้

หากโชคดีคุณอาจเจอช้างป่าออกมาเดินริมถนน เหมือนผม แต่ที่สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีก็คือน้ำตกบนเขาใหญ่ ที่ใครได้เห็นก็มีแต่ความประทับใจกับความสวยงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้น น้ำตกบางแห่งสามารถเข้าชมได้ง่าย เพราะมีเส้นทางเดินเข้าไปถึง ได้แก่ น้ำตกเหวสุวัต ที่เป็นที่นิยมมาก น้ำตกเหวไทร น้ำตกเหวประทุน น้ำตกกองแก้ว น้ำตกเหวนรก และ เหวอีอ่ำ ซึ่งหลายคนรู้จักกันดีจากข่าวเมื่อหลายปีก่อน

นอกจากการเดินป่าชมวิว ชมน้ำตกแล้ว การขี่จักรยานเมาน์เทนไบค์ก็กำลังได้รับความนิยมมาก เพราะท่านสามารถชมธรรมชาติที่สวยงามไปพร้อมกับการออกกำลังกายคู่กันด้วย อีกกิจกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กันในตอนนี้ก็คือการส่องสัตว์เวลากลางคืน เพราะสัตว์ป่าบางชนิดก็ออกหากินเวลากลางคืน เช่น กวาง และช้าง แต่กิจกรรมนี้ต้องติดต่อกับทางอุทยานนะคะเพราะว่าไปเองคงไม่ดีแน่ และทางอุทยานคงไม่ให้เดินทางเอง

เรื่องที่พักอาหารการกินก็ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าใครสะดวกที่จะกางเต็นท์นอนอยู่กันแบบลุย ๆ ทางอุทยานมีบริเวณไว้สำหรับนักท่องเที่ยวจะกางเต็นท์นอนกัน แต่ถ้าใครไม่ชอบลุยอยากพักแบบสบาย ๆ ก็ขอแนะนำให้พักที่รีสอร์ท บริเวณเชิงเขาซึ่ง บนถนนธนะรัตน์






















วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อุทยานแห่งชาติทับลาน/ท่องเที่ยวป่าเขา ไทยคึกคัก


อุทยานแห่งชาติทับลาน

ตั้งอยู่ที่ตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี การเดินทางจากทางหลวงหมายเลข 33 ถึงกบินทร์บุรีเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 304 ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร

อุทยานแห่งชาติทับลานมีพื้นที่อยู่ในเขตจังหวัดปราจีนบุรีและนครราชสีมา มีเนื้อที่ประมาณ 2,240 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,400,000 ไร่ นับเป็นป่าลานที่ขึ้นเองตามธรรมชาติแห่งสุดท้ายของประเทศ เป็นพันธุ์ไม้ดึกดำบรรพ์ตระกูลปาล์มที่หายาก จะออกดอกเมื่อต้นมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ช่วงฤดูออกดอกในราวเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ดอกมีสีเหลือง สวยงามมาก หลังออกดอกแล้วต้นลานนั้นจะตายไป พื้นที่อุทยาน ฯ ยังปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง และป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและนกชนิดต่าง ๆ

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจภายในอุทยาน ฯ ได้แก่

สวนพักผ่อนหย่อนใจ อยู่ติดกับที่ทำการอุทยาน ฯ พื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ประกอบด้วยต้นลานและพันธุ์ไม้

นานาชนิด สภาพร่มรื่น มีซุ้มสำหรับนั่งพักผ่อน กลางสวนมีสระน้ำขนาดใหญ่

น้ำตกทับลาน (เหวนกกก) อยู่ห่างจากบ้านทับลานประมาณ 7 กิโลเมตร ต่อด้วยทางเดินเท้า

เป็นน้ำตกที่สวยงามมีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น

อ่างเก็บน้ำทับลาน อยู่ห่างจากบ้านทับลานประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นอ่างเก็บน้ำที่สวยงามล้อมรอบ

ไปด้วยภูเขา อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การพักผ่อน

น้ำตกห้วยใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันตกของอุทยาน ฯ แยกจากทางหลวงหมายเลข 304 ตรงหลักกิโลเมตรที่ 79 เข้าไปอีก 6 กิโลเมตร ในหน้าแล้งนำรถยนต์เข้าไปเกือบถึงตัวน้ำตก น้ำตกห้วยใหญ่เป็นน้ำตกขนาดใหญ่

ที่มีความงดงามมากแห่งหนึ่ง มีความสูงประมาณ 50 เมตร กว้างประมาณ 30 เมตร

อุทยานแห่งชาติทับลาน ไม่มีบ้านพักบริการแก่นักท่องเที่ยว ผู้สนใจจะพักแรมภายในอุทยาน ฯ สามารถกางเต็นท์พักแรมได้โดยสอบถามรายละเอียดได้ที่อุทยานแห่งชาติทับลาน

โทรศัพท์ 0 86004 4029 sตู้ ปณ. 37 อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ..









ลักษณะภูมิประเทศ

อุทยานแห่งชาติทับลาน เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตเทือกเขาพนมดงรัก สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปประกอบด้วยภูเขาใหญ่น้อยสลับซับซ้อนต่อเนื่องกันเป็นบริเวณกว้างขวาง โดยมีเขาที่สำคัญหลายลูก เช่น เขาละมั่ง เขาภูสามง่าม เขาภูสูง เขาใหญ่ เขาวง เขาสลัดได เขาทิดสี เขาไม้ปล้อง เขาทับเจ็ก และเขาด่านงิ้ว ซึ่งยอดเขาละมั่งเป็นยอดเขาที่สูงสุด มีระดับความสูงประมาณ 992 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเทือกเขายาวต่อเนื่องกันทำให้มีหุบเขาตามธรรมชาติ เหว และน้ำตก เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำหลายสาย เช่น ห้วยขมิ้น ห้วยปลาก้าง ห้วยคำแช ห้วยคำขี้แรด ห้วยมูลสามง่าม ห้วยภูหอม ห้วยกระทิง ห้วยลำเลย ห้วยกุดตาสี ห้วยลำดวน เป็นต้น ลำห้วยแต่ละสายไหลรวมกันเป็นแม่น้ำมูล ส่วนลำห้วยสวนน้ำหอม ห้วยหินยาว ห้วยชมพู ห้วยสาลิกา ห้วยวังมืด ห้วยลำไยใหญ่ ฯลฯ ลำห้วยเหล่านี้จะไหลรวมกันเป็นแม่น้ำบางปะกง

ลักษณะภูมิอากาศ

อุทยานแห่งชาติทับลาน ในช่วงฤดูลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ความชุ่มชื้นจะถูกพัดมาจากทะเลอันดามันและอ่าวไทย จนทำให้พื้นที่บริเวณนี้ได้รับปริมาณน้ำฝนมาก เฉลี่ยตลอดปี 1,070 มิลลิเมตร ฝนจะตกชุกที่สุดในเดือนกันยายน ซึ่งเทือกเขาพนมดงรักจะปะทะลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และทำให้ฝนตกในบริเวณด้านรับลมมากกว่าด้านไม่รับลม ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมากราคม อากาศจะหนาวเย็นมากในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่มีค่าเฉลี่ยอุณหภูมิต่ำสุด 22.8 องศาเซลเซียส ฟดูร้อนเริ่มตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม อากาศจะร้อนอบอ้าวมากในเดือนเมษายนซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 29.3 องศาเซลเซียส สำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 26.7 องศาเซลเซียส

พืชพรรณและสัตว์ป่า

อุทยานแห่งชาติทับลาน มีสังคมพืชที่จัดเป็นป่าลุ่มต่ำที่มีความสมบูรณ์มากสามารถจำแนกได้ 4 ประเภท คือ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง จัดเป็นสังคมพืชที่มีการซ้อนทับกันของลักษระทางนิเวศของป่าภาคกลางและป่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าชุกชุม

ป่าเต็งรัง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานมีสภาพเป็นป่าโปร่ง ขาดแคลนแหล่งน้ำ มีต้นไม้ขึ้นกระจัดกระจายทั่วพื้นที่และมักจะมีลำต้นเล็กและเตี้ย พืชพื้นล่างเป็นพวกหญ้าเพ็ก หญ้าคา และสาบเสือ พันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น เต็ง รัง เหียง พลวง ฯลฯ

ป่าเบญจพรรณ จะมีไม้ต่างชนิดขึ้นปะปน และจะพบไผ่ขึ้นปนมากมาย มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น แดง ตะแบกใหญ่ ประดู่ มะกอก ชิงชัน ฯลฯ พืชพื้นล่างที่สำคัญ เช่น ไผ่กาย โด่ไม่รู้ล่ม เป็นต้น ป่าผลัดใบเหล่านี้ในช่วงฤดูฝนไม้พื้นล่างจะผลิใบอ่อนเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์กินพืช ได้แก่ ช้างป่า กระทิง วัวแดง กวางป่า และนกที่อาศัยพื้นที่นี้ได้แก่ ไก่ป่า เหยี่ยวชิครา นกแขกเต้า นกหัวขวาน สัตว์เลื้อยคลานที่พบได้แก่ ตะกวด และแย้ เป็นต้น

ป่าดงดิบชื้น พบขึ้นอยู่ทั่วไปในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 400-1,000 เมตร

ป่าดงดิบแล้ง จะพบขึ้นอยู่บนพื้นที่ค่อนข้างราบ ไม้ที่พบโดยทั่วไปได้แก่ ยางนา ยางแดง เป็นต้น จากลักษณะเรือนยอดที่ต่อเนื่องกันนั้นจึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชะนีมือขาว ชะนีมงกุฎ ค่างหงอก ลิงกัง พญากระรอกบินหูแดง และจากสภาพป่าที่มีความรกทึบเป็นที่หลบพักและซ่อนตัวของสัตว์ใหญ่ เช่น ช้างป่า กระทิง นกป่าที่หากินและดำเนินกิจกรรมอยู่ในพื้นที่ ได้แก่ ไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ฟ้าหลังขาว นกมูม นกลุมพู นกเค้าเหยี่ยว นกเงือกกรามช้าง นกแก๊ก นกกก นกพญาปากกว้างสีดำ นกพญาปากกว้างหางยาว นกขุนแผนหัวแดง และนกขุนทอง สัตว์เลื้อยคลานที่พบได้แก่ ตะกวด เต่าใบไม้ เต่าเหลือง และตะกอง เป็นต้น

นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติทับลานยังมีป่าอีกชนิดหนึ่งซึ่งถือเป็นประเภทป่าผลัดใบ ป่าชนิดนี้ถูกเรียกว่า ป่าลาน สภาพจะเป็นป่าโปร่ง มีลานขึ้นอย่างหนาแน่นทั่วพื้นที่ ป่าลานนี้มีเนื้อที่ 200 ไร่ บริเวณที่ราบบนเขาละมั่ง ด้านตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ไม้ลานเป็นพืชในตระกูลปาล์ม (Palmae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Corypha lecomtei Becc. บริเวณป่าลานและป่ารุ่นเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่สามารถปรับตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ กระรอก หนู กระต่ายป่า พังพอน เก้ง กวางป่า เหยี่ยวขาว นกคุ่มอกลาย กิ้งก่าหัวแดง ตุ๊กแกบ้าน กิ้งก่าหางยาว อึ่งอ่างบ้าน และคางคก เป็นต้น

บริเวณเขาหินปูน ถ้ำ หน้าผา ซึ่งได้แก่บริเวณเขาละมั่ง เขาวง และภูสามง่าม เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และที่กำบังภัยของสัตว์ป่าบางชนิด เช่น เลียงผา เม่นหางพวง และค้างคาว เป็นต้น บริเวณแหล่งน้ำ ห้วย ลำธาร เป็นย่านที่อาศัยของสัตว์ป่าบางชนิดได้แก่ งูปลิง กบหงอน เขียดอ่องเล็ก นกยางไฟธรรมดา นกยางเขียว นกกระเต็นธรรมดา นกกระเต็นใหญ่ธรรมดากำกวม และนกกระเต็นลาย ปลาน้ำจืดที่พบ เช่น ปลาชะโอน ปลาดุกเนื้อเลน ปลากระสง ปลาดัก และปลากระทิงดำ เป็นต้น


วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สิ่งน่าสนใจที่ ภูกระดึง

สิ่งน่าสนใจที่ ภูกระดึง

ภูกระดึง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ได้รับความนิยมสูงสุด นักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัย ต่างนึกถึง ภูกระดึง เป็นที่แรกๆ อากาศที่ ภูกระดึง หนาวเย็นตลอดทั้งปี เส้นทางเดินขึ้น ภูกระดึง ไม่ลำบากมากนัก แต่มีระยะทางไกล ทางขึ้น ภูกระดึง จะมีลูกหาบมาช่วยในการแบกสัมภาระต่างๆ ค่าบริการคิดเป็นกิโลกรัม โดยแต่ละคนสามารถแบกได้ถึง 60 กิโลกรัม ลูกหาบนับเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของภูกระดึงการนอนค้างแรมที่ภูกระดึง จะเป็นการกางเต็นท์ในจุดที่ทางเจ้าหน้าที่ ได้เตรียมเอาไว้ จึงรับรองได้ถึงความปลอดภัยที่ทุกท่านจะได้รับ ที่จุดสูงสุดของยอดเขาภูกระดึงจะมีป้ายผู้พิชิตยอดเขาภูกระดึงอยู่ ยังไงใครที่ปีนได้ถึงจุดสูงสุดก็อย่าลืมถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานว่า เราคือหนึ่งในผู้ที่สามารถพิชิตยอดเขาภูกระดึงได้

ผาหล่มสัก

เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวภูกระดึงนิยมมาถ่ายภาพกัน ที่ผาหล่มสักมีต้นสนต้นใหญ่อยู่ตันหนึ่ง ตั้งตระงานอยู่ตรงลานหิน ที่ยื่นออกไปข้างนอก จนกลายเป็นจุดเด่นของผาหล่มสัก ที่นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมา ต้องมานั่งถ่ายภาพกับต้นสักต้นนี้

น้ำตกงามที่ภูกระดึง

น้ำตกงามที่ภูกระดึง นั้นมีขนาดใหญ่อีกทั้งในฤดูน้ำหลากมักเกิดน้ำป่าขึ้น ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องปิดภูกระดึงในช่วงฤดูฝน 1 มิถุนายน - 30 กันยายน ของทุกปี อีกจุดเด่นหนึ่งของภูกระดึง คือ ต้นเมเปิล สีส้ม สร้างความแตกต่างและความสวยงามให้แก่ที่นี้เป็นอันมาก

ลูกหาบ ภูกระดึง

ลูกหาบ ภูกระดึง เป็นอีกเสน่ห์ของภูกระดึง ลูกหาบแต่ละคนจะสามารถแบกของได้เที่ยวละ 60 กิโลกรัม ขนได้ประมาณ 2-3 รอบต่อวัน ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยว ราคาค่าขนส่งนั้นประมาณ 8-10 บาทต่อกิโลกรัม ใครที่จะไปที่ภูกระดึงก็อย่าลืมใช้บริการของลูกหาบกันนะ ถือว่าไทยช่วยไทย

ผาเหยียบเมฆ

ผาเหยียบเมฆ เป็นผาที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของภูกระดึง ผาที่นี้เหมาะแก่การมากางเต็นท์พักแรม ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเหน็บและเมื่อมองลงไปข้างล่างจะเห็นหมอกเต็มไปหมด ผาที่นี้จึงมีชื่อเรียกว่า ผาเหยียบเมฆ สำหรับการเดินทางมาที่ ผาเหยียบเมฆ ภูกระดึง นั้น ท่านจะต้องเดินทางด้วยจักรยานเสือภูเขาเท่านั้น

การเดินทาง

ใช้เส้นทาง กทม. - สระบุรี แล้วเลี้ยวซ้ายออกทางเลี่ยงเมือง ตัดเข้าทางหลวง

หมายเลข 21 มุ่งสู่ จ.เพชรบูรณ์ ผ่าน อ.ศรีเทพ อ.วิเชียรบุรี อ.บึงสามพัน

มุ่งเข้า อ.เมืองเพชรบูรณ์ หลังจากผ่าน จ.เพชรบูรณ์ ให้ตรงขึ้นไปทาง

อ.หล่มสัก ก่อนถึงจะพบสี่แยกพ่อขุนฯ ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข

12 จากจุดนี้ไปอีก 78 กม. ให้เลี้ยวซ้ายที่แยกบ้าน ห้วยสนามทราย

เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2216 สังเกตุง่ายๆ ทางเข้าจะเลยด่านตรวจ

ที่ 2 มาเพียง 500 เมตรเท่านั้น วิ่งไปอีก 34 กม.ผ่าน อ.น้ำหนาว

เลี้ยวขวาที่แยกบ้านห้วยแปลก จากนั้นขับตรงไปอีกราว 10 กม.

มีแยกให้เลี้ยวขวาขับตรงไปจนสุดทาง อีก 9 กม.

ก็จะถึง หมู่บ้านฟองใต้ ปลายทางของเรา

รถทัวร์

เส้นทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ลง ณ ผานกเค้า แล้วต่อรถสองแถวเพื่อเดินทางไปยังที่ทำการอุทยาน โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที

รถทัวร์สายกรุงเทพ - เมืองเลย มีบริษัทให้บริการได้แก่บริษัท ขนส่งจำกัด แอร์เมืองเลย ภูกระดึงทัวร์ ขอนแก่นทัวร์ ศิขรินทร์ทัวร์ และชุมแพทัวร์













สินค้ารวม